การ”ดื่มน้ำ” เป็นเรื่องจำเป็นที่ร่างกายขาดไปไม่ได้
หากขาดเมื่อไรเซลล์ทุกส่วนที่ประกอบเป็นร่างสร้างขึ้นเป็นตัวเป็นตนจะมีอันไร้สมดุล
เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วจนถึงขั้น “วายชีวา” ได้ภายใน 3 วัน
แต่รู้ทั้งรู้ คนเราก็ยังชอบทำตัวให้ “ขาดน้ำ” กันจนได้
จะว่าไปก็ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ หากเป็นเพราะความจำเป็นของวิถีชีวิตที่บังคับให้ต้องนั่งหลังขดหลังแข็ง
ตรากตรำทำงาน จนละเลยที่จะดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ไม่ขี้เกียจเดินไปห้องน้ำ ก็อยู่ไกล
พอเวลาได้ทานก็ดื่มทีเดียว 2 แก้วรวด ซึ่งจะทำให้ไตทำงานหนักแบบปัจจุบันทันด่วน
หรือบางคนแทนที่จะดื่มน้ำสะอาด ทั้งวันกลับเติมกาแฟ น้ำชา น้ำหวาน น้ำผลไม้กล่อง
น้ำอัดลมเข้าไปจนเต็มท้อง ถึงจะทำให้คุณได้รับน้ำในปริมาณที่มากก็จริงอยู่ แต่มันเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง
จึงส่งผลเสียหายต่อสุขภาพอย่างแรง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ก่อนจะพาไปรู้ว่าทำอย่างไรคือ “การดื่มน้ำที่ถูกต้อง”
เรามาดูกันก่อนว่าอาการขาดน้ำเป็นอย่างไร และมีผลเสียร้ายแรงแค่ไหน
สัญญาณประท้วงของร่างกายเมื่อขาดน้ำ
สำหรับคนที่เคยมีประสบการณ์ ท้องเสีย เพราะอาหารเป็นพิษ หรือจะเกิดจากการติดเชื้อ
คงจะเข้าใจดีว่าอาการขาดน้ำนี่มันฤทธิ์ร้ายไม่ใช่เล่น
เริ่มจากอาการปากแห้ง กระสับกระส่าย ซีดเซียว หน้ามืด เป็นลม
ถ้าถ่ายท้องมากๆ เซลล์ต่างๆในร่างกายจะฝ่อ ทำงานรวนจนสูญเสียหน้าที่ไปในที่สุด
ด้านน้ำเลือดก็จะข้น ไหลอืดอาด ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อออกแรงบีบเลือดให้พุ่งไปได้ไกลๆ
นอกจากนี้ น้ำที่ไหลออกจากร่างกายอย่างเร็วยังพาเอาแร่ธาตุที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญๆ
เช่น หัวใจ และไต ออกไปด้วย ทำให้อวัยวะทั้งสองที่ต้องทำงานหนักอยู่แล้วบกพร่องมากขึ้น
จนเกิดอาการ “วาย” เลิกทำงานดื้อๆเสียอย่างนั้น
ที่น้ำเป็นเรื่องจำเป็นต่อชีวิตคน ก็เพราะมันเป็นองค์ประกอบกว่าครึ่งหนึ่งของมวลร่างกาย
เซลล์ทุกเซลล์ต้องมีน้ำเป็นส่วนหนึ่งจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ น้ำเป็นตัวหล่อลื่นให้เซลล์ทำงานได้ไม่ติดขัด
ให้ความชุ่มชื่น หล่อเลี้ยงเซลล์ไม่ให้เกิดความร้อนมากจนเกินไป นอกจากนี้ ยังเป็นพาหนะที่นำอาหารเข้ามาหล่อเลี้ยง
และนำของเสียที่เกิดจากการทำงานภายในออกไปทิ้ง
ในระดับระบบอวัยวะ ก็ต้องใช้น้ำในการขับเคลื่อนกลไกดุจเดียวกัน อาทิ
ระบบย่อยอาหารต้องใช้น้ำเป็นตัวทำละลายในขบวนการชีวเคมีเพื่อย่อย และดูดซึมสารอาหาร
น้ำยังเป็นส่วนประกอบหลักของเลือดที่เป็นเส้นทางลำเลียงอาหารที่มีประโยชน์และนำพาออกซิเจนไปทั่วร่างกาย
ทั้งยังเป็นส่วนประกอบของสารคัดหลั่งที่ช่วยหล่อลื่นอวัยวะต่างๆ เช่น ดวงตา ข้อต่อ ช่องท้อง
เยื่อหุ้มปอด หัวใจ ฯลฯ และยังเป็นผู้นำของเสียออกจากร่างกายในรูปแบบของปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ น้ำตา น้ำมูก
รวมถึงไอน้ำจากลมหายใจด้วย หากร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ย่อมทำให้ทุกระบบทำงานได้ดี
ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
ร่างกายมนุษย์นั้นได้รับน้ำจากการรับเข้าทางปากเป็นส่วนใหญ่ และสูญเสียไปกับการเผาผลาญพลังงานและการขับของเสีย
ปริมาณน้ำในกายจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปทุกวันและทุกวัย จะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับ เพศ กิจกรรม และวิธีชีวิตของแต่ละคน
ปกติแล้วปริมาณของน้ำในกายคนจะลดลงเองเมื่ออายุมากขึ้น เมื่อยังเด็กๆเคยมีสูงถึงร้อยละ 70 จนผิวดูใส เต่งตึง เด้งดึ๋งไปทั่งร่าง
เมื่อเดินทางมาเกือบค่อนชีวิต มีเด็กรุ่นใหม่เรียกเราว่า “น้า” หรือ “อา” บ้าง
ปริมาณน้ำจะลดลงเหลือร้อยละ 60 – 65 ผิวใสๆก็เริ่มเหี่ยวแห้ง มีตีนกามาเยือน
แต่ถ้าเมื่อไหร่คำนำหน้าชื่อกลายเป็น “ลุง ป้า ตา ยาย” ละก็จะเหลือน้ำเพียงแค่ร้อยละ 55 เท่านั้น
สัญญาณบอกระดับความรุนแรงของการขาดน้ำ
ระดับ 1 รู้สึกกระหายน้ำ ต้องปรบมือให้กับร่างกาย